
ความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่น
ความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นของวงศ์ตระกูล
Louis Vuitton
มรดกตกทอดที่เดินหน้าสู่อนาคต
หลุยส์ วิตตองเกิดในปี 1821 ที่อองเชย์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาฌูรา ครอบครัวของเขาซึ่งเป็นชาวนามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 อาศัยและทำงานลึกเข้าไปในป่าโดยใช้พลังงานน้ำจากกังหันในการโม่ธัญพืชและขึ้นรูปไม้ ณ ที่แห่งนั้น หลุยส์ได้ซึมซับความหลงใหลด้านงานฝีมือตั้งแต่เด็กท่ามกลางจังหวะของแมกไม้และสายน้ำ
เมื่ออายุ 14 ปี เขาออกเดินทางสู่กรุงปารีส โดยเดินเท้าไปทั่วฝรั่งเศส นับเป็นเวลากว่าสองปี
เขามาถึงปารีสในปี 1837 และเริ่มฝึกงานกับ Romain Maréchal ช่างทำหีบเดินทางผู้เชี่ยวชาญ ตลอดสิบเจ็ดปี หลุยส์ได้เรียนรู้งานฝีมือด้วยความประณีตแม่นยำและเข้าใจความต้องการของนักเดินทางชนชั้นสูงที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และได้กลายเป็นทักษะที่วางรากฐานให้กับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในตำนาน
ช่างฝีมือที่มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ
หลุยส์ แต่งงานได้ไม่นานและเปิดร้านแห่งแรกในปี 1854 ที่ 4 บนถนน Neuve-des-Capucines ใกล้กับ Place Vendôme ทรังก์รุ่นแรกๆ ของเขาสะท้อนรูปแบบทั่วไปของยุคนั้นที่มีฝาพับโค้งและเสริมเหล็ก จากนั้นไม่นาน เขาได้ปรับโฉมโครงสร้างใหม่ พร้อมนำเสนอรุ่นฝาเรียบสีเทา Trianon ที่มีน้ำหนักเบากว่า แข็งแรงกว่า ซ้อนเก็บได้ง่าย และเหมาะกับโลกที่ก้าวไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
หัวใจสำคัญของเมซง
เมื่อเวิร์กช็อปในปารีสเริ่มเติบโตขึ้น หลุยส์จึงซื้อที่ดินที่ Asnières-sur-Seine ในปี 1859 เพื่อสร้างอาเตลิเยร์ โดยเลือกทำเลที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางทางสังคมอันคึกคักของปารีสและเส้นทางการผลิตที่สำคัญ ในช่วงทศวรรษ 1870 ครอบครัววิตตองได้อาศัยอยู่ที่ Asnières ซึ่งกลายเป็นบ้านที่เปรียบได้ดั่งหัวใจสำคัญของมรดกอันทรงคุณค่าของหลุยส์ วิตตอง ที่ซึ่งความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือ นวัตกรรม และศิลปะได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
Georges Vuitton
จากการเดินทางของชายคนหนึ่งสู่เมซงระดับโลก
ในปี 1857 หลุยส์ได้ต้อนรับจอร์จ บุตรชายคนเดียวของเขาซึ่งในวัย 16 ปี เขาเริ่มฝึกงานที่อาเตลิเยร์ Asnières ภายในปี 1880 จอร์จเข้าบริหารร้านที่ Rue Scribe ในกรุงปารีส ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเมซง พวกเขาร่วมกันขยายเวิร์กช็อปที่ Asnières โดยเพิ่มแผนกเครื่องหนังและเติบโตในโลกของทรังก์ จอร์จเริ่มต้นบทใหม่ของเมซงด้วยไอเดียโดดเด่นและพลังที่ไร้ขีดจำกัด ในปี 1888 เขาเปิดตัว Damier แคนวาสเป็นครั้งแรกซึ่งมีชื่อ Vuitton ปรากฏอยู่ด้านนอกทรังก์ หนึ่งปีต่อมา เขาได้จดสิทธิบัตรระบบล็อกแบบร่องหลายชั้นที่ไม่สามารถงัดแงะได้ เพื่อปกป้องทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของลูกค้า
ในขณะที่แคนวาสยังคงถูกลอกเลียนแบบ ในปี 1896 จอร์จเริ่มค้นหาลายใหม่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมซง ด้วยแรงบันดาลใจจากศิลปะอาร์ตนูโว คตินิยมศิลปะญี่ปุ่น และศิลปะโกธิค จอร์จจึงรังสรรค์ Monogram แคนวาสที่เป็นไอคอนิกของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน โดยผสมผสานลวดลายดอกไม้เรขาคณิตกับอักษรย่อ “LV” เพื่อเป็นเกียรติแด่บิดาผู้ล่วงลับในปี 1892
ในปี 1885 จอร์จเปิดร้านหลุยส์ วิตตองแห่งแรกในต่างประเทศที่ลอนดอน และขยายสาขาอย่างรวดเร็วไปยังนิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย นีซ และลีลล์ โดยได้นำชื่อของวิตตองให้เป็นที่รู้จักในโลกของนักเดินทางที่เติบโตขึ้น ในปี 1914 จอร์จได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นในปารีส เขาจึงร่วมมือกับสถาปนิกออกแบบร้านใหม่ โดยปรับเปลี่ยนร้านให้เป็นประสบการณ์ และเปิดทำเลใหม่สำหรับ “Vuitton Building” บนถนน Champs-Élysées
Gaston-Louis Vuitton
การสำรวจดินแดนใหม่
กัสตง-หลุยส์ ซึ่งเกิดที่ Asnières ในปี 1883 เติบโตท่ามกลางทรังก์ เครื่องมือ และเรื่องเล่าจากดินแดนไกลโพ้น เขาเป็นนักสะสม นักอ่าน และนักคิดสร้างสรรค์ โดยเขาสนับสนุนการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและยืดหยุ่น พร้อมทั้งตีความศิลปะแห่งการเดินทางสำหรับคนรุ่นใหม่ในรูปแบบใหม่ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นการขยายตัวระลอกใหม่
กัสตง-หลุยส์ ในฐานะศิลปินได้นำพาหลุยส์ วิตตองเข้าสู่แวดวงด้านความคิดสร้างสรรค์อันโดดเด่นแห่งยุค 1920 จนกระทั่งเข้าร่วมงาน Exposition Internationale des Arts Décoratifs ที่กรุงปารีสในปี 1925
จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและการสำรวจเช่นนี้ยังขับเคลื่อนการเดินทางนอกเหนือจากงานฝีมือที่โดดเด่น นับตั้งแต่การเปิดตัวนาฬิกา Star Clock ในปี 1910 ไปจนถึงการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ Motobloc สำหรับการแข่งขันนิวยอร์ก-ปารีส การรังสรรค์น้ำหอม Heures d’Absence ในปี 1927 ซึ่งเป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของเมซง ทั้งนี้ กัสตง-หลุยส์ ได้ขยายจักรวาลหลุยส์ วิตตองสู่โลกที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
ตลอดหลายชั่วอายุคน การเดินทางของหลุยส์ วิตตอง ได้แปรเปลี่ยนจากความฝันของช่างฝีมือสู่สัญลักษณ์ระดับโลกแห่งการเป็นมรดกอันทรงคุณค่า นวัตกรรม และความสง่างามเหนือกาลเวลา แต่ละบทเรียนที่หยั่งรากลึกในงานฝีมือยังคงหล่อหลอมเมซงแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
การเดินทางอันยิ่งใหญ่
Neuve-des-Capucines
เมื่ออายุ 33 ปี หลุยส์ วิตตอง เปิดร้านแห่งแรกที่ถนน Neuve-des-Capucines ใกล้กับ Place Vendôme มาตรฐานระดับสูงและความชำนาญขั้นสูงในการทำงานไม้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์ทรังก์ของตัวเองในเวิร์กช็อปที่ Rue du Rocher ในปีเดียวกันนี้ เขาแต่งงานกับ Clémence-Émilie Parriaux
แคนวาสสีเทา Trianon
หลุยส์คลุมทรังก์ฝาเรียบของเขาด้วยแคนวาสป่านเพนท์สีน้ำมัน ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าหนัง ใช้งานง่าย และกันน้ำ เดิมเรียกว่า “gris ordinaire” (สีเทาธรรมดา) ต่อมาชื่อสีนี้ถูกเรียกว่าสีเทา Trianon ซึ่งสะท้อนโทนสีของพระราชวังตุยเลอรีและที่พักอาศัยของจักรพรรดิอื่นๆ
จากฝาโค้งสู่ฝาเรียบ
ประมาณปี 1860 หลุยส์ปฏิวัติการเดินทางด้วยการเปลี่ยนฝาโค้งแบบดั้งเดิมมาเป็นฝาเรียบด้านบน ทำให้สามารถซ้อนเก็บทรังก์ได้ง่ายขึ้น ทรังก์ “แบบไม้เรียงแถว” ทำจากไม้ป็อปลาร์น้ำหนักเบา แข็งแรง และใช้งานได้จริง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในศิลปะแห่งการเดินทาง
อาเตลิเยร์ใน Asnières-sur-Seine
เมื่อเวิร์กช็อปของเขาในปารีสเริ่มขยายตัว หลุยส์และภรรยาซื้อที่ดิน 1,080 ตารางเมตรที่ Asnières-sur-Seine ซึ่งสะท้อนความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของเขา เมืองนี้เชื่อมตรงกับปารีสด้วยทางรถไฟสายใหม่และอยู่ใกล้กับแม่น้ำแซน เพื่อให้สามารถขนส่งไม้ป็อปลาร์สำหรับโครงทรังก์ได้อย่างราบรื่น
Paris Universal Exhibition
หลุยส์เข้าร่วม Paris Universal Exhibition ในปี 1867 ในฐานะ “ช่างทำและผู้ผลิตทรังก์เดินทาง” โดยได้นำกระเป๋าที่ได้รับการจดลิขสิทธิ์ของเขามาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในเวทีอันทรงเกียรตินี้ซึ่งดึงดูดลูกค้าระดับสูงจากทั่วโลก และได้รับรางวัลเหรียญทองแดงสำหรับการสร้างสรรค์ผลงาน
แคนวาสลายแถบ
เพื่อป้องกันการเลียนแบบแคนวาสสีเทา Trianon หลุยส์ วิตตอง จึงสร้างแคนวาสลายแถบสีแดงและสีเบจ สี่ปีต่อมา หลุยส์ได้เปลี่ยนเป็นโทนสีเบจพร้อมแถบสลับสีโทนสว่างและเข้ม และในปี 1877 มีการจดสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองลวดลายและการออกแบบเหล่านี้
เครื่องหนังที่เวิร์กช็อป Asnières
เพื่อสืบทอดความเป็นเลิศด้านช่างฝีมือ หลุยส์และจอร์จ บุตรชายผู้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการร้านที่ Rue Scribe ได้ขยับขยายเวิร์กช็อปในปี 1880 โดยเพิ่มอาคารสำหรับผลิตเครื่องหนัง
ร้านแรกในต่างประเทศ
เมซงมุ่งสู่สหราชอาณาจักร ซึ่งมีชื่อเสียงด้านสินค้าการเดินทางและตลาดที่คึกคัก โดยอาศัยความรู้ภาษาอังกฤษของเขาบนเกาะเจอร์ซีย์ จอร์จ วิตตอง เปิดร้านแรกในลอนดอนในปี 1885 บนถนนอ็อกซ์ฟอร์ด และย้ายไปที่ถนนนิวบอร์นในปี 1900 ซึ่งเป็นที่อยู่ที่ยังใช้งานจนถึงทุกวันนี้
Damier แคนวาส
แม้จะมีการจดสิทธิบัตรแล้ว แต่แคนวาสลายแถบยังคงถูกลอกเลียนแบบ หลุยส์และจอร์จจึงรังสรรค์ Damier แคนวาสเวอร์ชันใหม่ โดยจอร์จได้จดทะเบียนดีไซน์และใช้ป้าย “Marque L. Vuitton Déposée” ในสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลบนพื้นหลังสีเบจเป็นครั้งแรก
ทรังก์ที่ปลอดภัย
เพื่อปกป้องทรัพย์สมบัติล้ำค่าของลูกค้า จอร์จ วิตตอง จดสิทธิบัตรระบบล็อกหลายชั้นซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าปลอดภัยจากการงัดแงะและมีความปลอดภัยสูง ระบบนี้ยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถปลดล็อกกระเป๋าเดินทางทั้งหมดได้ด้วยกุญแจเพียงดอกเดียว
Monogram แคนวาส
เมื่อ Damier แคนวาสถูกลอกเลียนแบบ จอร์จออกแบบลวดลายใหม่ ซึ่งมีอักษรย่อ L.V. เพื่อเป็นเกียรติแด่บิดา เดิมทีเรียกว่า L.V. Canvas และตั้งชื่อใหม่เป็น Monogram แคนวาสในปี 1986 โดยยังคงใช้พาเลตต์สี Damier รวมสัญลักษณ์ 4 แบบ ได้แก่ ลวดลายดอกไม้สามแบบ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพฤกษศาสตร์ ส่วนหนึ่งเป็นเรขาคณิต และอักษรย่อของหลุยส์ วิตตอง
ขยายเมซงสู่สหรัฐอเมริกา
ระหว่างเดินทางสหรัฐในปี 1893 จอร์จมีความตั้งใจจะขยายเมซงไปต่างประเทศ ภายในปี 1898 ทรังก์ของหลุยส์ วิตตอง ถูกจำหน่ายโดย John Wanamer ในนิวยอร์กและฟิลาเดลเฟีย ตามด้วยสถานที่อื่นๆ ทั่วโลก
กระเป๋ารุ่น Steamer
กระเป๋ารุ่น Steamer ซึ่งสร้างขึ้นต้นยุค 1900 เพื่อใส่เสื้อผ้า ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าอ่อนพับได้ ใส่ในช่องล่างของทรังก์ใส่เสื้อผ้าในระหว่างการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ต่อมาในอีกหลายทศวรรษ ได้มีการพัฒนาร่วมกับการขนส่งต่างๆ และกลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าเดินทางสุดไอคอนิกของเมซง
Vuittonite แคนวาส
ตั้งแต่ต้นปี 1900 เครื่องบันทึกการขายของเมซงมีบันทึก Pegamoid แคนวาสเคลือบที่ทำให้ทนทาน กันน้ำ และซักได้ เหมาะสำหรับกระเป๋ารถยนต์ โดยตั้งชื่อว่า “Vuittonite” ในปี 1903 ซึ่งมีน้ำหนักเบา แข็งแรง และสามารถย้อมสีให้เข้ากับตัวรถได้
Avenue des Champs-Élysées
ในปี 1914 เมซงเปิดร้านที่ 70 Avenue des Champs-Élysées ซึ่งรู้จักในชื่อ "อาคารวิตตอง" และประสบความสำเร็จทันที ด้วยฝีมือการจัดวินโดว์ดิสเพลย์โดยกัสตง-วิตตอง ทำเลนี้ยังคงเป็นที่อยู่ของเมซงในปารีสจนถึงปี 1954 และกลับมาเป็นสถานที่สุดไอคอนิกอีกครั้งในปี 1998
น้ำหอมเซ็ตแรก
เมซงเปิดตัวน้ำหอมเซ็ตแรก Heures d’Absence ที่ตั้งชื่อตามบ้านพักตากอากาศของครอบครัววิตตอง โดยได้ออกแบบขวดและเคสที่สะท้อนสัญลักษณ์การเดินทางสมัยใหม่ ในปี 2020 ชื่อนี้กลับมาอีกครั้งในน้ำหอมสำหรับผู้หญิง ปัจจุบันเมซงยังคงสืบสานมรดกแห่งน้ำหอมด้วยผลงานสร้างสรรค์ที่เหนือกาลเวลา
กระเป๋ารุ่น Keepall
กระเป๋ารุ่น Keepall ซึ่งเปิดตัวในทศวรรษ 1930 ภายใต้ชื่อ Tientout เริ่มรังสรรค์ขึ้นจากแคนวาสและหนัง ซึ่งต่อมาได้ใช้วัสดุ Monogram แคนวาส และวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์อื่นๆ ที่มีความโดดเด่นด้วยรูปทรงโค้ง โครงสร้างยืดหยุ่น และหูจับ Toron ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างามของหลุยส์ วิตตอง
กระเป๋ารุ่น Speedy
สร้างขึ้นช่วงปี 1930 โดยเป็นกระเป๋าถือแบบ Express ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Speedy โดยกัสตง-หลุยส์ วิตตอง ออกแบบให้สะท้อนยุคสมัยแห่งความรวดเร็วฉับไว ในปี 1959 กระเป๋าได้รับการปรับโฉมเป็น Monogram แคนวาสและกลายเป็นกระเป๋าถือสุดไอคอนิกที่ Audrey Hepburn ใช้งาน
กระเป๋ารุ่น Noé
เมื่อแบรนด์แชมเปญแห่งหนึ่งขอให้มีการออกแบบกระเป๋าที่สวยงามและแข็งแรงสำหรับใส่ขวดแชมเปญห้าใบ กัสตง-หลุยส์ วิตตอง จึงออกแบบกระเป๋ารุ่น Noé ต่อมาในปี 1959 ปรับเป็นกระเป๋าในเมือง และนำ Monogram แคนวาสมาใช้ กระเป๋ารุ่นนี้ได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่ในสีสันและขนาดต่างๆ อย่างไม่สิ้นสุด
แคนวาสที่มีความยืดหยุ่น
Monogram แคนวาสที่เปิดตัวปี 1896 เหมาะสำหรับใช้เป็นกระเป๋าเดินทางแบบแข็ง แต่ไม่เหมาะสำหรับการเป็นกระเป๋าแบบยืดหยุ่น ในปลายทศวรรษ 1950 โคลด-วิตตอง แก้ปัญหานี้ด้วยการพัฒนากระบวนการใหม่ในการเคลือบเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งนำไปสู่ความรุ่งเรืองของเครื่องหนัง
กระเป๋ารุ่น Sac Plat
กระเป๋ารุ่น Sac Plat เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1968 โดยเป็นกระเป๋าชายหาดและได้รับการปรับโฉมมาอย่างต่อเนื่อง มีสี ลวดลาย และขนาดที่หลากหลาย ซึ่งออกแบบมาเพื่อการใช้งานจริง โดดเด่นด้วยความกว้างและความสะดวกสบายสำหรับใช้เป็นไอเท็มสำคัญประจำวันได้อย่างลงตัว
กระเป๋ารุ่น Dauphine
กระเป๋ารุ่น Dauphine ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นที่ออกแบบในปี 1976 ถูกตีความใหม่โดย Nicolas Ghesquière สำหรับ Cruise Collection ปี 2019 ซึ่งตั้งชื่อตามจัตุรัสในปารีส มาพร้อมโลโก้ LV Circle แบบเดียวกับที่กัสตง-หลุยส์ วิตตองจดสิทธิบัตรในปี 1908
การเปิดร้านในญี่ปุ่น
หลุยส์ วิตตอง เปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นในปี 1978 โดยมีร้านสาขาที่โตเกียวและโอซาก้า ทั้งนี้ ภายในปี 1981 เมซงได้เปิดร้านที่บริหารโดยร้านค้าแห่งแรกในย่านกินซ่า โตเกียว บนถนนนามิกิ
ความร่วมมือด้านกีฬาครั้งแรก
เส้นทางของหลุยส์ วิตตอง และการแข่งขันเรือใบระดับนานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง America's Cup เริ่มในปี 1983 เมื่อเมซงจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกและรังสรรค์ทรังก์สุดพิเศษสำหรับถ้วยรางวัล ปัจจุบันหลุยส์ วิตตอง ร่วมงานกับการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ
หนัง Epi
หนัง Epi ที่เปิดตัวในปี 1985 ได้แรงบันดาลใจจากหนังลายเกรนในทศวรรษ 1920 รวมถึงกล่องชา Maharajah ปี 1926 ย้อมสีทั้งใบและประทับลวดลาย Epi ทำให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อรอยขีดข่วน และยิ่งงดงามตามกาลเวลาด้วยสีสันที่สดใสและงานฝีมืออันประณีต หนัง Epi จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมซง
กระเป๋ารุ่น Alma
กระเป๋ารุ่นนี้ที่เดิมชื่อ Squire Bag ในปี 1934 ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนดีไซน์หลายครั้งและเปลี่ยนชื่อต่างๆ เช่น Champs-Élysées และ Marceau ในเวลาต่อมา ก่อนที่จะกลายเป็นชื่อ Alma ในปี 1992 เส้นสายของกระเป๋าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์อาร์ตเดโคได้รับการตีความใหม่มาเกือบศตวรรษ จนมาถึงการสร้างสรรค์เป็นรูปแบบ BB ในปี 2010
1997
ในปี 1997 เมซงแต่งตั้ง Marc Jacobs เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคอลเลกชันผู้หญิงและผู้ชายเพื่อขยายสู่เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์และแอคเซสซอรี่ การทำงานตลอดช่วง 16 ปีของเขาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ โชว์สุดอลังการ และได้ร่วมงานกับศิลปินมากมาย เช่น Stephen Sprouse, Takashi Murakami และ Richard Prince
Louis Vuitton Library
นับเป็นเวลากว่า 20 ปี หลุยส์ วิตตองสร้างมรดกตกทอดด้านงานพิมพ์ด้วยผลงานเกือบหนึ่งร้อยเล่มในสามซีรีส์หลักเกี่ยวกับการเดินทาง ได้แก่ City Guide, Travel Book และ Fashion Eye อีกทั้งยังได้ร่วมงานกับสำนักพิมพ์ระหว่างประเทศในการจัดทำหนังสือต่างๆ เพื่อเฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์ของเมซง
ความร่วมมือที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์
เมซงเริ่มต้นความร่วมือกับเหล่าศิลปินครั้งแรกในปี 1910 โดยได้สร้างบทสนทนาระหว่างความหรูหราและการสร้างสรรค์แบบร่วมสมัย ในปี 2001 Stephen Sprouse ได้ปรับโฉม Monogram แคนวาส นับตั้งแต่นั้น หลุยส์ วิตตองได้ทำงานร่วมกับศิลปินต่างๆ เช่น Takashi Murakami, Richard Prince, Yayoi Kusama และ Jeff Koons
นาฬิกา Tambour เรือนแรก
หลุยส์ วิตตองเปิดตัวนาฬิกา Tambour ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวสู่โลกแห่งการผลิตนาฬิากาที่มีความโดดเด่นด้วยตัวเรือนทรงกลอง หน้าปัดสีน้ำตาลและเข็มนาฬิกาสีเหลืองที่สื่อถึงเส้นด้ายที่ใช้ในงานหนัง ทั้งนี้ นาฬิกา Tambour ผสมความแม่นยำแบบสวิสเข้ากับดีเอ็นเอที่เหนือกาลเวลาของเมซงได้อย่างลงตัว ปัจจุบัน หลุยส์ วิตตอง ยังคงเดินหน้าสร้างนิยามใหม่แห่งความเป็นเลิศด้านการผลิตนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง
คอลเลกชันไฟน์จิวเวลรี่ชุดแรก
คอลเลกชัน Empreinte (2004) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทรังก์แบบดั้งเดิมและเอกลักษณ์สุดไอคอนิกของหลุยส์ วิตตอง ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งการเดินทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเมซง ปัจจุบันทางเมซงเดินหน้าขยายขอบเขตด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อรังสรรค์ไฟน์จิวเวลรี่และไฮจิวเวลรี่ที่งดงามโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง
กระเป๋ารุ่น Christopher
กระเป๋าสะพายหลังรุ่น Christopher ที่เปิดตัวในแฟชั่นโชว์สุภาพบุรุษ FW 2004-05 ผสานฟังก์ชันที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและความสง่างามสไตล์แคชชวล โดยมีการปิดที่ปลอดภัยและช่องกระเป๋าหลายช่องทำให้เป็นเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์แบบสำหรับการผจญภัยในเมืองในลุคที่ดูดีมีสไตล์
นิทรรศการหลุยส์ วิตตอง
ในปี 2006 เมซงเปิดตัว Espaces Louis Vuitton ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการที่ขยายจากกรุงปารีสไปยังเมืองสำคัญต่างๆ การเดินทางด้านวัฒนธรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านนิทรรศการ Volez, Voguez, Voyagez (2015), LV Dream (2022), Visionary Journeys (2024) ทั่วโลก
กระเป๋ารุ่น Neverfull
กระเป๋ารุ่น Neverfull ที่จุของได้มากสมชื่อ ใช้งานได้หลากหลาย มีพื้นที่กว้าง น้ำหนักเบา และทนทาน ดีไซน์ที่คลาสสิกเหนือกาลเวลาทำให้กระเป๋ารุ่นนี้เป็นไอคอนประจำวัน ในปี 2024 ได้มีการปรับโฉมใหม่เป็น Neverfull Inside Out ที่สามารถพลิกด้านในกระเป๋ากลับมาเป็นด้านนอกได้
2011
ในปี 2013 Kim Jones เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์กลุ่มผลิตภัณฑ์แรดี้ทูแวร์สำหรับสุภาพบุรุษของหลุยส์ วิตตอง ภายใต้การดูแลของ Marc Jacobs หลังจากที่ Jacobs อำลาตำแหน่ง Kim Jones ได้สานต่อจิตวิญญาณของเมซงพร้อมหลอมรวมเอกลักษณ์ของแบรนด์เข้ากับอิทธิพลจากสตรีทแวร์ร่วมสมัยโดยทำงานร่วมกับ Chapman Brothers, Christopher Nemeth และ Supreme เป็นต้น
Objets Nomades
Objets Nomades หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งการเดินทางสู่โลกแห่งการออกแบบและเฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่นด้วยการรังสรรค์ผลงานแบบลิมิเต็ดจากศิลปินชื่อดัง เช่น Campana Brothers คอลเลกชันที่รังสรรค์ขึ้นในแต่ละปีได้มีการผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมโดยมีการนำเสนอที่ Milan Design Week และ Art Basel Miami
2012
Jacques Cavallier Belletrud เริ่มต้นเส้นทางแห่งกลิ่นหอมในฐานะมาสเตอร์เพอร์ฟูเมอร์ของหลุยส์ วิตตอง ในฐานะบุตรและหลานของนักปรุงน้ำหอม เขาได้นำความชำนาญในเมืองกราสมาสร้างสรรค์ผลงานน้ำหอมที่แสดงให้เห็นถึงความงดงามด้านงานฝีมือและวัตถุดิบชั้นเลิศระดับโลก ณ เวิร์กช็อปของเขาที่ Les Fontaines Parfumées
2013
Nicolas Ghesquière ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ประจำคอลเลกชันสำหรับสุภาพสตรียังคงถ่ายทอดความหรูหราสง่างามของผู้หญิงผ่านมุมมองแห่งจิตวิญญาณที่ทันสมัย วิสัยทัศน์ของเขาได้ตีความเอกลักษณ์อันไร้กาลเวลาของเมซงที่ผสานความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นเข้ากับรูปทรงอันโดดเด่นและเส้นสายทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม
กระเป๋ารุ่น Capucines
กระเป๋ารุ่น Capucines คือผลงานที่เหนือกาลเวลาและมีความอเนกประสงค์ โดยสามารถเข้าได้กับทั้งลุคสบายๆ และสไตล์ที่หรูหราสง่างาม ดีไซน์ของกระเป๋าสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือของหลุยส์ วิตตองผ่านหนังธรรมชาติเนื้อนุ่ม และเพื่อเป็นการสดุดีแด่ความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นของแบรนด์ กระเป๋าใบนี้จึงได้รับการตั้งชื่อตามร้านค้าแห่งแรกของหลุยส์ วิตตอง ณ เลขที่ 4 ถนน Neuve-des-Capucines
กระเป๋ารุ่น Petite Malle
กระเป๋าสุดไอคอนิกจากแฟชั่นโชว์สำหรับสุภาพสตรี Fall-Winter 2014 ของ Nicolas Ghesquière ได้แรงบันดาลใจจากทรังก์ของ Albert Kahn นักการธนาคารและนักการกุศล ผลงานนี้ออกแบบขึ้นเพื่อตอบโจทย์วิถีแห่งการเดินทางสมัยใหม่และได้รับการตีความใหม่ในหลากหลายรูปแบบ
Fondation Louis Vuitton
Fondation Louis Vuitton ที่เปิดในปี 2014 และออกแบบโดยสถาปนิก Frank Gehry คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่ตั้งอยู่ใน Bois de Boulogne ของกรุงปารีส อาคารที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแห่งนี้เป็นพื้นที่จัดแสดงคอลเลกชันถาวรและนิทรรศการขนาดใหญ่ เช่น Monet, Basquiat และ Rothko
กระเป๋ารุ่น Twist
กระเป๋ารุ่น Twist สุดไอคอนิกที่เปี่ยมด้วยความหรูหราสง่างามแบบร่วมสมัยสะท้อนความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นของเมซงผ่านตัวล็อก LV อันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง โดยกระเป๋ารุ่นนี้ได้รับการตีความใหม่ในทุกฤดูกาลด้วยสไตล์ของหลุยส์ วิตตอง และกลายเป็นสัญลักษณ์ของรูปแบบที่ไร้กาลเวลาที่ใช้งานได้หลากหลายโอกาสในชีวิตประจำวัน
เกม
หลุยส์ วิตตอง บุกเบิกในโลกของวิดีโอเกมโดยร่วมมือกับ Final Fantasy ในปี 2016 เพื่อนำเสนอฮีโร่หญิง Lightning ในแคมเปญพิเศษพร้อมคอลเลกชันแคปซูลโดย Nicolas Ghesquière ในปี 2019 เมซงได้ร่วมงานกับ League of Legends ของ Riot Games เพื่อออกแบบสกิน Qiyana และสร้างทรังก์สำหรับถ้วยรางวัลที่รังสรรค์ขึ้นตามความต้องการ
2018
ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมงานกับเมซงในปี 2018 และนำอิทธิพลจากสตรีทแวร์มาสู่คอลเลกชันสำหรับสุภาพบุรุษ Virgil Abloh สำรวจความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นของหลุยส์ วิตตองผ่านมุมมองแบบร่วมสมัยซึ่งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความหลากหลาย
2018
Francesca Amfitheatrof ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ด้านนาฬิกาและจิวเวลรี่จนถึงปี 2025 ได้นำความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือของบรรพบุรุษมาตีความใหม่ด้วยแนวทางร่วมสมัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางและความเชี่ยวชาญของเธอ ด้วยจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ Francesca Amfitheatrof รังสรรค์ผลงานอันงดงามที่เฉลิมฉลองจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของหลุยส์ วิตตอง
กระเป๋ารุ่น OntheGo
กระเป๋ารุ่น OnTheGo ที่มีฟังก์ชันตามชื่อรุ่นสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อชีวิตที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา ให้พื้นที่กว้างเพียงพอสำหรับสิ่งจำเป็นของผู้หญิงยุคใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 กระเป๋าใบนี้ออกแบบเป็นโท้ทแบบมีโครงสร้าง ผสมผสานความสง่างามของ Monogram คลาสสิกเข้ากับเส้นสายแบบร่วมสมัย
กระเป๋ารุ่น Soft Trunk
Virgil Abloh ปรับโฉมทรังก์สุดไอคอนิกให้เป็นกระเป๋านุ่มแบบอเนกประสงค์สำหรับการเปิดตัวโชว์ Spring-Summer 2019 ที่หลุยส์ วิตตอง โดยกระเป๋ารุ่นนี้ถือเป็นเอสเซนเชียลแบบร่วมสมัยที่สามารถสะพายไหล่หรือถือเป็นกระเป๋าคลัทช์ได้
ร้านอาหารแห่งแรกของหลุยส์ วิตตอง
ในปี 2020 ทางเมซงได้เปิดร้านอาหารร้านแรกที่ Maison Osaka Midosuji ร่วมกับเชฟ Yosuke Suga นับจากนั้นเป็นต้นมา หลุยส์ วิตตองได้ขยายจักรวาลแห่งอาหารสู่เซนต์-โทรเปซ กรุงเทพ นิวยอร์ก และมิลาน ที่ผสานรวมแฟชั่นกับไฟน์ไดนิ่งจากทั่วโลก
กระเป๋ารุ่น Coussin
กระเป๋ารุ่น Coussin เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลกชัน Spring-Summer 2021 แสดงถึงความนุ่มนวล มีมิติ และยืดหยุ่น กระเป๋าใบนี้มาพร้อมช่องซิป 3 ช่อง ภายในที่ทันสมัยและใช้งานได้จริงสำหรับความหรูหราสง่างามในชีวิตแต่ละวัน
กระเป๋ารุ่น Side Trunk
กระเป๋ารุ่น Side Trunk ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นด้านการทำทรังก์ของเมซงเปิดตัวครั้งแรกที่โชว์ Cruise 2023 โดยกระเป๋ารุ่นนี้ของ Nicolas Ghesquière ได้ตีความ Petite Malle ซึ่งเปิดตัวในปี 2014 ขึ้นใหม่ด้วยดีไซน์ที่สดใหม่และร่วมสมัย
2023
นักดนตรี ผู้สร้างภาพยนตร์ และนักการกุศล Pharrell Williams ได้นำวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมนวัตกรรมของเขามาสู่หลุยส์ วิตตอง ในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สำหรับสุภาพบุรุษด้วยการผลักดันขอบเขตของสไตล์แบบดั้งเดิม เขาได้เติมเต็มคอลเลกชันสำหรับสุภาพบุรุษด้วยความร่วมสมัยที่สะท้อนจิตวิญญาณการบุกเบิกและความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง
2025
ในปี 2025 หลุยส์ วิตตอง ได้เริ่มต้นการเดินทางใหม่ด้วยการเปิดตัว La Beauté Louis Vuitton การเดินทางที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้ขยายวิสัยทัศน์ของเมซงที่หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณแห่งการเดินทางและความเป็นเลิศด้านการสร้างสรรค์ พร้อมทั้งได้ Dame Pat McGrath, DBE เข้าร่วมงานในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ด้านเครื่องสำอาง
คอลเลกชันความงามชุดแรก
เมซงคงไว้ซึ่งความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นและจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมโดยได้นำเสนอผลงานและอุปกรณ์เสริมที่ถูกออกแบบให้เป็นวัตถุที่ทรงคุณค่าในตัวเอง ลิปสติก ลิปบาล์ม และอายแชโดว์ทุกชิ้นสามารถเติมได้ใหม่ พร้อมสูตรเฉพาะและเฉดสีหลากหลายที่เฉลิมฉลองการแสดงออกถึงตัวตน โดยทุกชิ้นได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดย Dame Pat McGrath
ผู้รังสรรค์หีบเดินทางที่เหนือกาลเวลา
ทรังก์ทรงโดม
หลุยส์ วิตตอง ปฏิวัติการผลิตทรังก์ด้วยดีไซน์ที่ใช้งานได้จริง กันน้ำ และปราศจากกลิ่น โครงสร้างทรงโค้งสามารถไล่น้ำฝน ป้องกันความชื้นสะสมบนพื้นผิว หลุยส์ ได้เลิกการใช้หนังแบบเดิมและเลือกใช้แคนวาสสีเทา Trianon พร้อมกาวยึดเพื่อเพิ่มความทนทาน
ทรังก์ฝาเรียบ
หลุยส์ออกแบบทรังก์ฝาเรียบด้านบน เสริมความแข็งแรงด้วยเหล็กและไม้บีช แต่ยังคงน้ำหนักเบาด้วยไม้ป็อปลาร์ สามารถซ้อนเก็บได้ แข็งแรง ทนแรงกระแทกและน้ำ ทำให้นวัตกรรมนี้ได้เปลี่ยนแปลงการเดินทางและเขายังจดสิทธิบัตรการใช้หนังเพื่อปกป้องงานออกแบบของเขามากขึ้น
ทรังก์ตู้เสื้อผ้า
ทรังก์ตู้เสื้อผ้าที่เปิดตัวปี 1875 กำหนดนิยามใหม่ในการเก็บสัมภาระสำหรับการเดินทางด้วยการออกแบบให้ตั้งตรงในห้องนักเดินทางและเปิดได้เหมือนตู้เสื้อผ้า ทำให้ไม่ต้องแพ็กและแกะของบ่อยๆ ทรังก์นี้ได้กลายเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
ทรังก์แบบเตียง
ทรังก์แบบเตียงที่รังสรรค์ขึ้นกลางทศวรรษ 1880 แสดงถึงจิตวิญญาณด้านนวัตกรรมของเมซง ผลงานการรังสรรค์นี้ที่จดสิทธิบัตรโดยจอร์จ วิตตองในปี 1885 ได้รับการยกย่องในนิทรรศการสากลและระหว่างประเทศ กลายเป็นคู่หูยอดนิยมของนักเดินทาง นักสำรวจ และนักผจญภัย
ทรังก์ดอกไม้
ราวปี 1910 เมซงส่งช่อดอกไม้เล็กๆ ให้ลูกค้าประจำ โดยส่งดอกไม้ภายในทรังก์กระถาง Monogram แคนวาสที่มาพร้อมซับในวัสดุซิงค์กันน้ำ เมื่อดอกไม้เริ่มเฉา ทรังก์ใบงามนี้สามารถนำไปใช้ต่อได้ เช่น เป็นกล่องเครื่องประดับหรือของสะสมอันล้ำค่า
ทรังก์ใส่รองเท้า
ผลิตภัณฑ์ Shoe Trunk Secretary ที่ได้รับการนำเสนอเป็นจุดเด่นที่งาน International Exhibition of Modern Decorative and Industrial Arts ในปี 1925 นั้นเดิมทีออกแบบให้มีช่องบุผ้านุ่ม 30 ช่อง เพื่อใช้เป็นทรังก์เดินทางสุดหรูสำหรับเก็บรองเท้า บูท และแอคเซสเซอรี่อย่างมีสไตล์
เคสอุปกรณ์อาบน้ำ
ในปี 1916 นักร้องโอเปร่า Marthe Chenal สั่งทำเคสหนังหมูดีไซน์ Drop-front ไอเท็มรุ่นนี้ได้รับการจดทะเบียนภายใต้ชื่อของเธออย่างเป็นทางการในปี 1925 และในปีเดียวกันมีเวอร์ชันใหม่จัดแสดงที่งาน International Exhibition of Decorative Arts.
โต๊ะทำงาน Stokowski
โต๊ะทำงานที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับ Leopold Stokowski คอนดักเตอร์ชาวโปแลนด์-อังกฤษ ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสำหรับการเดินทางของเขาโดยมีชั้น ลิ้นชัก และพื้นที่สำหรับเครื่องพิมพ์ดีด สามารถขยายเป็นโต๊ะพับได้ กัสตง-หลุยส์ วิตตอง ตั้งชื่อรุ่นนี้ตามลูกค้า โดยเรียกว่า 'Stokowski Bureau Secretary’
ทรังก์ใส่ถ้วยรางวัล
ในปี 1988 หลุยส์ วิตตอง ออกแบบทรังก์ใส่ถ้วยรางวัลครั้งแรกในวัสดุหนัง Epi สีน้ำเงิน สำหรับ America's Cup และได้ตอกย้ำถึงคำมั่นสัญญาที่ไม่เปลี่ยนแปลงในปี 1992 ด้วยทรังก์ใส่ถ้วยรางวัลสีแดง Epi สำหรับ Louis Vuitton Cup นับตั้งแต่นั้นมา ทรังก์เหล่านี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะในการแข่งขันกีฬาอันทรงเกียรติที่สุดซึ่งสะท้อนสโลแกนที่ว่า “ชัยชนะเดินทางไปกับหลุยส์ วิตตอง”
ทรังก์เก็บซิการ์ 1000 อัน
ทรังก์เก็บซิการ์ 1000 อันที่รังสรรค์ขึ้นในปี 1997 คือชิ้นงานที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายในไม้ซีดาร์เคลือบเงาอันแสดงถึงความชำนาญในการคัดเลือกไม้เพื่อเก็บซิการ์อย่างสมบูรณ์แบบ
กล่องใส่นาฬิกา 8 เรือน
กล่องใส่นาฬิกา 8 เรือนที่ได้แรงบันดาลใจจาก Coffret Trésor ราวปี 2008 ซึ่งเป็นทายาทของ Boîte à Tout ในทศวรรษ 1950 โดยกล่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของทรังก์แบบฮาร์ดไซด์สำหรับใส่นาฬิกาหลากหลายรุ่นของแบรนด์ เช่น 1 Watch Case, Boîte Main Montre และ Malle Horlogère
Malle Coiffeuse
Malle Coiffeuse (ทรังก์รุ่น Vanity) ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับกิจวัตรความงาม ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ในกิจวัตรการดูแลผิวประจำวันของลูกค้า โดยทรังก์สามารถเปิดออกเป็นสามส่วน เผยให้เห็นช่องจัดระเบียบ ถาด ลิ้นชัก ที่นั่งพับได้ และกล่องเก็บจิวเวลรี่ที่สวยงาม ผสานความหรูหรากับการใช้งานได้อย่างมีระดับ
ทรังก์ใส่สนีกเกอร์
ทรังก์ใส่สนีกเกอร์ที่ผสานรูปแบบดั้งเดิมที่ไร้กาลเวลาและดีไซน์ร่วมสมัยเป็นไอเท็มสำหรับนักสะสม โดยเปิดให้เห็นลิ้นชักกระจก 14 ช่อง ซึ่งมี 8 ช่องสำหรับส้นสูง 6 ช่องสำหรับเส้นเตี้ย พร้อมกระจกสองบานในตัว
ทรังก์แบบเตียงรูปแบบใหม่
ทรังก์แบบเตียงสุดไอคอนิกได้รับการจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี 1885 และกลับมาอีกครั้งในปี 2024 กับสามรุ่นใหม่ ตั้งแต่ Monogram แคนวาสสุดคลาสสิกเหนือกาลเวลาไปจนถึงการตีความใหม่ในรูปแบบที่โดดเด่นโดย Nicolas Ghesquière และ Pharrell Williams โดยผลงานทุกชิ้นผสมผสานทั้งความเลอค่าจากรุ่นสู่รุ่นเข้ากับความคิดสร้างสรรค์และดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์
ทรังก์โอลิมปิก
ในฐานะ Premium Partner ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและ Paralympic Games Paris 2024 เมซงได้รังสรรค์ทรังก์สุดพิเศษสำหรับเหรียญรางวัลและคบเพลิง ซึ่งต่อยอดมรดกอันทรงคุณค่ากว่า 35 ปีในการรังสรรค์ทรังก์สำหรับถ้วยรางวัลที่ผสมผสานนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือ และความเป็นเลิศในด้านกีฬา